คนวัยทำงาน ควรตรวจสุขภาพอะไรบ้าง
เมื่อรู้ประโยชน์ของการตรวจสุขภาพแล้ว สำหรับวัยทำงานถือเป็นวัยที่ต้องเข้ารับบริการตรวจสุขภาพอย่างจริงจัง เนื่องจากเป็นวัยที่มักจะตรวจพบโรคซ่อนโดยที่เจ้าตัวไม่รู้ มาดูกันว่าวัยทำงาน (18 – 60 ปี) ควรมีการตรวจอะไรบ้าง
- การซักประวัติ เป็นการคัดกรองเพื่อค้นหาความเสี่ยงของโรค โดยเฉพาะคนที่มีบุคคลในครอบครัวป่วยด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเบาหวาน โดยเฉพาะชายอายุน้อยกว่า 55 ปี และหญิงอายุน้อยกว่า 65 ปี หรือมีสมาชิกหลายคนในครอบครัวเป็นโรคดังกล่าว เนื่องจากเป็นโรคที่อาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้
- การตรวจร่างกายทั่วไป เช่น ชั่งน้ำหนัก วัดส่วนสูง เพื่อการประเมินว่าเป็นโรคอ้วนหรือไม่ วัดความดันโลหิต เพื่อตรวจคัดกรองโรคความดันโลหิตสูง ตรวจฟังเสียงหัวใจผิดปกติ ตับม้ามโตว่าโตผิดปกติ หรือมีภาวะบวมหรือไม่ เป็นต้น
- ตรวจสุขภาพช่องปาก ควรได้รับการตรวจสุขภาพช่องปากและฟัน เป็นประจำทุกปี อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
- ตรวจการได้ยิน คนที่ทำงาน หรืออยู่อาศัยในสภาพแวดล้อมที่เสียงดังติดต่อกันเป็นเวลานาน ควรได้รับการตรวจการได้ยินเบื้องต้น ด้วยการใช้นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ถูกันเบา ๆ ห่างจากรูหูประมาณ 1 นิ้ว ปีละ 1 ครั้ง ซึ่งหากพบภาวะผิดปกติจะได้เข้ารับการตรวจวินิจฉัยต่อไป ทั้งนี้ ปัญหาด้านการได้ยินจะส่งผลด้านการสื่อสารและการเข้าสังคม
- ทำแบบประเมินสภาวะสุขภาพ เพื่อตรวจหาความเสี่ยงของการประเมินโรคหัวใจและหลอดเลือด ภายใน 10 ปีข้างหน้า ภาวะซึมเศร้า การติดนิโคตินในผู้สูบบุหรี่ (ประเมินเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่) การดื่มแอลกอฮอล์ (ประเมินเฉพาะผู้ที่ดื่ม) การใช้ยาและสารเสพติด (ประเมินเฉพาะผู้ที่ใช้ยาและสารเสพติด)
- การตรวจตา สำหรับคนวัยทำงานที่อายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจวัดสายตาและตรวจคัดกรองโรคต้อหิน ภาวะความดันลูกตาสูง และความผิดปกติอื่น ๆ โดยทีมจักษุแพทย์ อย่างน้อย 1 ครั้ง/ปี
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ
- ตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) คนที่มีช่วงอายุ 18 – 60 ปี ควรได้รับการตรวจความสมบูรณ์ของเม็ดเลือด (CBC) 1 ครั้ง ซึ่งจะช่วยในการตรวจคัดกรองภาวะโลหิตจาง รวมทั้งอาจตรวจพบความผิดปกติอื่น ๆ เช่น เม็ดเลือดหรือเกล็ดเลือดผิดปกติ ถ้าหากเคยตรวจพบว่าความสมบูรณ์ของเม็ดเลือดปกติ ก็ไม่จำเป็นต้องตรวจซ้ำอีก
- ตรวจระดับไขมันในเลือด สำหรับคนที่อายุ 20 ปีขึ้นไป หรือมีสมาชิกในครอบครัวหลายคนเป็นโรคไขมันในเลือดสูง ควรได้รับการตรวจระดับไขมันในเลือดทุก 5 ปี เพื่อช่วยประเมินความเสี่ยงต่อการป่วยเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อตรวจคัดกรองความเสี่ยงโรคเบาหวาน สำหรับบุคคลที่อายุ 35 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดทุก 3 ปี
- ตรวจอุจจาระ สำหรับบุคคลตั้งแต่อายุ 50 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจอุจจาระ เพื่อคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่และลำไส้ตรง ปีละ 1 ครั้ง
- ตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) เฉพาะคนที่เกิดก่อนปี พ.ศ. 2535 ควรได้รับการตรวจเชื้อไวรัสตับอักเสบบี (HBsAg) โดยตรวจเพียงครั้งเดียว
- การตรวจสุขภาพเพิ่มเติมสำหรับเพศหญิง
- ตรวจสุขภาพเต้านม ผู้หญิงในช่วงอายุ 30 – 39 ปี ควรได้รับการตรวจเต้านมทุก ๆ 3 ปี จากแพทย์ หรือบุคลากรสาธารณสุขที่ได้รับการฝึกอบรม และอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจเต้านมเป็นประจำทุกปี
- ตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก ผู้หญิงอายุ 30 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจคัดกรองด้วย Pap’s smear ทุก 3 ปี หรือวิธีป้ายหาความผิดปกติโดยใช้กรดอะซิติก (VIA) ทุก 5 ปี ทว่าหากมีอายุ 55 ปีขึ้นไป ควรตรวจด้วยวิธี Pap’s smear เท่านั้น
ทั้งนี้ การตรวจสุขภาพเป็นเพียงการหาสัญญาณผิดปกติของโรคซ่อน หรือภาวะเสี่ยงต่าง ๆ การดูแลตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เริ่มง่าย ๆ โดยการทานอาหารที่มีประโยชน์ ในปริมาณที่พอเหมาะ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ พักผ่อนอย่างเพียงพอ รวมถึงการปรับไลฟ์สไตล์เพื่อหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่อสุขภาพ ปัจจุบันทุกคนสามารถไปใช้บริการการตรวจสุขภาพได้ที่โรงพยาบาล และสถานบริการสุขภาพของรัฐ หรือสถานบริการเอกชน ซึ่งมีค่าใช้จ่ายตามแพคเกจที่เลือก
ขอขอบคุณข้อมูลจาก: กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข http://www.healthcheckup.in.th/article/6
ภาพประกอบจาก: www.freepik.com