กระเจี๊ยบแดง (Hibiscus sabdariffa L.) เป็นพืชสมุนไพรที่เป็นได้ทั้งอาหาร และมีสรรพคุณทางยา ดังนี้
- ทางด้านคุณค่าทางโภชนาการนั้น กลีบเลี้ยงและกลีบรองดอก มีสารชื่อว่า “แอนโธโซยานิน” (Anthocyanin) จึงทำให้มีสีม่วงแดง ประกอบด้วยวิตามินซีสูง มีกรดซิตริก มัลลิก ธาตุเหล็ก แคลเซียม วิตามินเอ และอื่น ๆ ใบ มีวิตามินเอสูง มีแคลเซียม มีฟอสฟอรัส และอื่น ๆ ส่วนกรรมวิธีในการนำไปปรุงเป็นอาหารนั้นใบอ่อน ยอดอ่อนนำไปใส่ในแกงส้ม หรือต้มส้มเพื่อเพิ่มรสเปรี้ยวในอาหาร กลีบเลี้ยงและกลีบรองดอก นำไปทำเป็นน้ำสมุนไพร แยมและเยลลี่ได้
- ทางด้านสรรพคุณทางยานั้น ยอดและใบ ช่วยย่อยอาหาร ละลายเสมหะ ขับปัสสาวะ เป็นยาบำรุงธาตุและยาระบาย กลีบเลี้ยงทำให้สดชื่น ขับน้ำดี ลดไข้ แก้ไอ แก้นิ่ว แก้กระหายน้ำ เมล็ด ลดไขมันในเลือด บำรุงเลือด บำรุงธาตุ ขับน้ำดี แก้ปัสสาวะขัดและเจ็บ นอกจากนั้น ยอดและใบสามารถใช้เป็นยาภายนอกได้ คือ ตำพอกฝี ต้มน้ำชะล้างแผล ตำให้ละเอียดนำมาประคบฝี
กระเจี๊ยบแดงกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
- ฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียในทางเดินปัสสาวะ ผลการศึกษาพบว่า น้ำชงกระเจี๊ยบไม่มีผลในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียในระบบขับถ่ายปัสสาวะ
- การทดลองทางคลินิกใช้ขับปัสสาวะ พบว่า เมื่อให้ผู้ป่วยดื่มน้ำสกัดกระเจี๊ยบแดง มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ และมีผลช่วยฆ่าเชื้อในทางเดินปัสสาวะด้วย
- การศึกษาทางวิทยาศาสตร์ พบว่า สามารถลดไขมัน ลดไตรกลีเซอไรด์ในหนูได้ นอกจากนี้ยังพบว่า สารสกัดด้วยน้ำของกลีบเลี้ยงกระเจี๊ยบ เมื่อฉีดเข้าเส้นแมวแล้ว มีฤทธิ์ลดความดัน
ส่วนน้ำต้ม จากการทดลองให้คนกิน สามารถขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิตสูง ลดการอักเสบของระบบทางเดินปัสสาวะภายหลังการผ่าตัดผู้สูงอายุที่เป็นนิ่วในไต ส่วนสารสกัดจากกลีบดอกของกระเจี๊ยบ ช่วยระบาย ลดอาการบวม ยับยั้งการ สร้างอะฟลาท๊อกซิน ปกป้องไม่ให้ตับถูกทำลาย นอกจากนี้ ยังมีฤทธิ์คล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในเพศหญิง ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อสตรีวัยทอง ส่วนความเป็นพิษนั้น พบว่า การที่ทำให้หนูตายครึ่งหนึ่งนั้น ต้องกินน้ำสกัดกระเจี๊ยบ 129.1 กรัมต่อน้ำหนักหนูหนึ่งกิโลกรัม คือ ถ้าเปรียบเทียบกับให้คนกินแล้ว คนหนักประมาณ 60 กิโลกรัมจะต้องกินกระเจี๊ยบประมาณ 7.8 กิโลกรัม
คำแนะนำ
กระเจี๊ยบแดงมีเกลือโปตัสเซียมมาก จึงต้องระวังในการใช้กับคนไข้โรคหัวใจ
ภาพประกอบจาก: www.honestdocs.co