กล่าวได้ว่าในยุค 90s มีวัฒนธรรมอันเปี่ยมสเน่ห์มากมายที่ชวนให้หวนระลึกถึง โดยเฉพาะเพลงป็อปซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างเทคนิคลูกเล่นใหม่ ๆ เข้ามา ทำให้ดนตรีในยุคนี้มีเอกลักษณ์สำคัญมากทีเดียว รวมไปจนถึงช่องเพลงยอดฮิตในยุคก่อนอย่าง MTV และ Channel V หากใครกำลังมองหาเพลงป็อปดี ๆ ฟังย้อนความหลังหรือแม้แต่คนที่กำลังสนใจอยากทำความรู้จักบทเพลงในยุคนี้ให้มากยิ่งขึ้นไปอีก เราขอแนะนำ 10 เพลงป็อปที่ฟังง่าย ๆ สบาย ๆ ติดหูจนร้องตามกันได้ทุกคน
1. Wannabe – Spice Girls (1997)
เป็นเพลงเดบิวต์ที่ส่งให้สาว ๆ สไปซ์เกิร์ลส์ขึ้นทำเนียบเกิร์ลกรุ๊ปยอดนิยมตลอดกาล เพลงนี้มีจังหวะแบบป๊อปแดนซ์ เนื้อเพลงกล่าวถึงเพื่อนผู้หญิงที่มีคุณค่าเหนือกว่าความรักฉันท์ชู้สาวระหว่างหญิงกับชาย เพลงนี้สื่อถึงพลังของมิตรภาพ และได้รับการยกย่องจากเหล่านักวิจารณ์ว่าเขียนเนื้อเพลงได้ดีมากอีกด้วย จนทำให้ได้รับรางวัล British Single of the Year 1997 จากเวที Brit Awards
2. Un-break my heart – Toni Braxton (1996)
เพลงจังหวะป๊อปช้า ๆ พร้อมกับเนื้อเพลงเจ็บปวดบาดลึกเหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของโทนี่และดนตรียุค 90s ก็ว่าได้ ถ้าใครเป็นคอคาราโอเกะ คงจะได้ยินเพลงนี้ถูกหยิบขึ้นมาร้องบ่อย ๆ อีกทั้งยังถูกนำไปขับร้องในเวอร์ชั่นภาษาสเปนและรีมิกซ์ในรูปแบบต่าง ๆ อีกหลายเวอร์ชั่น เนื้อเพลงกล่าวถึงความผิดหวังในความรัก สำหรับ MV ก็ต้องบอกเลยว่าถ่ายทอดเรื่องราวความรักได้งดงาม
3. My heart will go on – Celine Dion (1997)
เพลงประภอบภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง Titanic ที่ทุบสถิติทั้งภาพยนตร์โรแมนติกและบทเพลงยอดนิยมตลอดกาลไปครอง ขึ้นชาร์ตอันดับ 1 ทั่วโลกในยุคนั้นทั้งสหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร และออสเตรเลีย เป็นหนึ่งในเพลงยอดนิยมของเซลีน อีกทั้งยังเป็นซิงเกิ้ลขายดีในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์และคว้ารางวัลแผ่นเสียงทองคำในสหรัฐอเมริกาไปครองอีกด้วย
4. Baby one more time – Britney Spear (1998)
หากพูดถึง Pop icon ยุค 90s คงขาดเจ้าหญิงแห่งเพลงป็อปคนนี้ไปไม่ได้ เนื้อเพลงกล่าวถึงความรู้สึกของผู้หญิงหลังจากที่เพิ่งเลิกกับแฟนหนุ่ม และยังเป็นเพลงในอัลบั้มเดบิวต์ของบริทนีย์ ซึ่งผลการตอบรับทำให้เธอกลายเป็นนักร้องสาวที่ถูกจับตามองจากทั่วโลกทันทีในฐานะ Influencer แห่งยุค เพลงนี้ติดชาร์ตเพลงป็อปยอดนิยมและเพลงป็อปขายดีตลอดกาล
5. I want it that way – Backstreet Boys (1999)
สำหรับหนุ่ม ๆ บอยแบนด์วงนี้ ถ้าจะให้นิยามคำจำกัดความได้เหมาะสมคงต้องบอกว่าทำเอาเกิดปรากฏการณ์สาว ๆ คลั่งไคล้มาแล้วทั่วโลก จังหวัของพลงนี้เป็นแบบป็อปผสมบัลลาดที่ฟังง่าย ๆ โดยใช้อะคูสติกกีต้าร์เป็นเครื่องดนตรีหลัก มาพร้อมความโดดเด่นด้วยการร้องผสานเสียงของนักร้องในวง เนื้อเพลงกล่าวถึงความสัมพันธ์และระยะทางที่ห่างไกล
6. Livin’ la vida loca – Ricky Martin (1999)
เพลงป็อปจังหวะละตินที่พร้อมจะทำให้ฟลอร์เต้นรำลุกเป็นไฟ เหมือนชื่อเพลงภาษาสเปน แปลว่า “The crazy life” หรือ “ชีวิตที่สุดเหวี่ยง” เพลงนี้ส่งให้ริคกี้กลายเป็นนักร้องละตินซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการเชื่อมกันระหว่างตลาดเพลงยักษณ์ใหญ่ในยุคนั้นคือตลาดละตินและอเมริกา เป็นซิงเกิ้ลทำยอดขายให้กับค่ายเพลงและริคกี้กว่า 8 ล้านก้อปปี้ ฮิตมากตามผับช่วงนั้น
7. Vogue – Madonna (1990)
เป็นเพลงที่อยู่ในอัลบั้มที่ 2 ของมาดอนน่า ผสมผสานระหว่างดนตรีป็อปและเฮ้าส์เข้าด้วยกัน โดยวาง Target ในกลุ่มเพลงแดนซ์ที่เปิดตามสถานบันเทิง เพลงนี้กล่าวถึงการใช้ชีวิตอย่างสนุกสนานเพลิดเพลิน เปี่ยมความมั่นใจในตนเอง รวมถึงความชื่นชอบในวงการฮอลลีวู้ดส์และยุคทองของแฟชั่น สำหรับมาดอนน่าเองนั้นก็ถือว่าเป็น Influencer ที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของยุคอยู่แล้ว ดังนั้นแฟชั่นการแต่งกายของเธอใน MV ก็ได้รับความนิยมเช่นเดียวกัน
8. I will always love you – Whitney Houston (1992)
ที่จริงแล้วบทเพลงนี้เป็นการนำมาขับร้องใหม่อีกครั้งโดยวิทนีย์ จากเดิมเคยเป็นเพลงแนวคันทรีในปี ค.ศ.1974 ในเวอร์ชั่นของวิทนีย์มีความเป็นป็อปและบัลลาดค่อนข้างมาก ถูกใช้เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง The bodyguard เพลงนี้อยู่บน Billboard chart 100 อันดับเพลงฮิตนานถึง 14 สัปดาห์และขึ้นแท่นซิงเกิ้ลที่ขายดีที่สุดตลอดกาล และช่วงที่เธอเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ.2012 เพลงนี้ก็กลับมาเข้าชาร์ตอีกครั้งโดยได้สูงถึงลำดับ 3
9. Barbie girl – Aqua (1997)
เพลงป็อปแดนซ์สุดโด่งดังของอควา นักร้องกลุ่มเชื้อชาติเดนนิชที่โด่งดังไปทั่วโลกในยุคนั้น เพลงนี้เขียนขึ้นเนื่องจากผู้แต่งได้แรงบันดาลใจจากนิทรรศการตุ๊กตkบาร์บี้ในประเทศเดนมาร์ค หลังจากนั้นก็โด่งดังไปทั่วยุโรปและทั่วโลกในลำดับต่อมาอย่างเป็นประวัติการณ์ของวงการเพลงเดนมาร์คเลยทีเดียว ด้วยจังหวะดนตรีที่สนุกสนาน เสียงร้องเป็นเอกลักษณ์ของสมาชิกในวง ทำให้เพลงนี้เป็นหนึ่งในเพลงป็อประดับตำนานอีกเพลง
10. Blue (da ba dee) – Eiffel65 (1999)
กลุ่มนักร้องชาวอิตาเลียน ไอเฟล65 ที่สร้างปรากฏการณ์ทางดนตรีจนโด่งดังไปทั่วยุโรปและทั่วโลก จนทำให้เหล่าวัยรุ่นยุคนั้นตามกระแสสีฟ้าอยู่ช่วงหนึ่งกันเลย ดนตรีหลักของเพลงนี้เป็นการผสมเทคนิค Auto-tune เข้ามาใช้ ทำให้มีจังหวะที่ดูล้ำ ๆ บอกเล่าไลฟ์สไตล์สุด Blue ของผู้ชายคนหนึ่ง พร้อมกับท่อน Da ba dee ที่อยู่ในช่วงฮุคนั้นไม่มีความหมาย แต่ฟังแล้วติดหูมาก ๆ
เรียบเรียงโดย : กองบรรณาธิการ
ภาพประกอบจาก : www.freepik.com